dcd8bf30e7bf45fe8ecdd3f82c79ddfd Food for health: 2010

ปลาสลิดบางบ่อ food for health นำเสนอ





ปลาสลิด มีชื่อเรียกในภาษามาเลย์ว่า "sepat siam" ภาษาอังกฤษเรียกว่า "กระดี่หนังงู" (snakeskin gourami) และมีชื่อเรียกในราชาศัพท์อีกว่า "ปลาใบไม้" ทั้งนี้เนื่องจากคำว่า "สลิด" เพี้ยนมาจากคำว่า "จริต" พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 จึงได้ทรงแนะนำให้เรียกปลาสลิดในหมู่ราชบริพารว่า ปลาใบไม้ เพราะทรงเห็นว่ามีรูปร่างเหมือนใบไม้
ปลาสลิด ชอบอยู่ในบริเวณทีมีน้ำนิ่ง เช่น หนอง บึง ตามบริเวณที่มีพันธุ์ไม้น้ำ เช่น ผักและสาหร่าย เพื่อใช้เป็นที่พักอาศัยกำบังตัวและก่อหวอดวางไข่ เนื่องจากปลาชนิดนี้โตเร็วในแหล่งน้ำธรรมชาติที่มีอาหารพวกพืช ได้แก่ สาหร่าย พืชและสัตว์เล็ก ๆ จึงสามารถนำปลาสลิดมาเลี้ยงในบ่อและนาข้าวได้เป็นอย่างดี
ปลาสลิด มีรูปร่างคล้ายปลากระดี่หม้อ แต่ขนาดโตกว่า ลำตัวแบนข้างมีครีบ ท้องยาวครีบเดียว สีของลำตัวมีสีเขียวออกเทาหรือมีสีคล้ำเป็นพื้น และมีริ้วดำพาดขวางตามลำตัวจากหัวถึงโคนหาง เกล็ดบนเส้นข้างตัวประมาณ 42-47 เกล็ด ปากเล็กยืดหดได้ ปลาสลิดซึ่งมีขนาดใหญ่เต็มที่จะมีความยาวประมาณ 20 เซนติเมตร

ปลาสลิด นับเป็นปลาน้ำจืดเศรษฐกิจที่สำคัญอีกชนิดหนึ่งของไทย นิยมแปรรูปเป็นปลาแห้งหรีอปลาเค็มที่รู้จักกันดี โดยเกษตรกรจะเลี้ยงในบ่อดิน โดยฟันหญ้าให้เป็นปุ๋ยและเกิดแพลงก์ตอนเพื่อเป็นอาหารปลา โดยพื้นที่เลี้ยงปลาสลิดที่เป็นที่รู้จักกันดี คือ อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ ที่เรียกว่า "ปลาสลิดบางบ่อ" นอกจากนี้ยังมีอีกแหล่งหนึ่งที่เคยมีชื่อในอดีต คือที่ ตำบลดอนกำยาน อำเภอเมือง จังหวัดสุพรรณบุรี
 
บางบ่อเป็นเขตน้ำกร่อย หรือน้ำเค็มปนน้ำจืด ทำให้เกิดไรแดงจำนวนมาก ซึ่งไอ้เจ้าไรแดงเนี่ย เป็นอาหารหลักของปลาสลิดเขาครับ ทำให้ปลาสลิดบางบ่อ เนื้ออร่อย ชื่อเสียงถึงได้ดังไปทั่วโลก 
       ปลาสลิด ที่นี้ถือว่ามีชื่อเสียงมาก ถ้าใครผ่านมา อ.บางบ่อ ก็จะเห็นชาวบ้านนำปลาสลิดตากแห้งมาขายเรียงรายกันมากมาย ซึ่งมีรสชาติดี บวกกับเนื้อแน่นของปลาสลิด ทำให้หลายคนที่นิยมบริโภคปลาสลิด อีกทั้งปลาสลิดบางบ่อ มีให้กินทุกฤดูกาล เพราะเขามีวิธีเก็บรักษาโดยวิธีการแช่แข็ง แล้วถึงนำออกมาทำเค็มช่วงที่ปลาสลิดขาดช่วง ความอร่อยของปลาสลิดบางบ่อ ทำให้นักท่องเที่ยวอดใจไว้ไม่ได้ เมื่อยามผ่านมา อ.บางบ่อ ก็ต้องซื้อติดมือกันเลยทีเดียว

Food for health ปลาสลิดตากแห้ง ได้ทอดด้วยไฟอ่อนๆ ให้เหลืองกรอบ กับข้าวสวยร้อนๆพร้อมน้ำจิ้ม เจ้าพระคุณเอ้ย..... แซ่บหลายเด้อค๊าบ พี่น้อง
ที่มา http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%9B%E0%B8%A5%E0%B8%B2%E0%B8%AA%E0%B8%A5%E0%B8%B4%E0%B8%94
http://travel.sanook.com/foodtour/foodtour_01003.php


ฟรี!!! หาเพื่อน หาแฟน คู่รัก คนรู้ใจ ฟรี!!!
www.illbemarried-opalydism.blogspot.comฟรี!!!

ปลาช่อนแม่ลา เคยได้ยินกันบ้างรึป่าว food for health ขอนำเสนอ

แม่ลา ในที่นี้ หมายถึง ลำน้ำธรรมชาติที่เก่าแก่ที่ไหลผ่านจังหวัดสิงห์บุรี น้ำนิ่ง  โดยเป็นแอ่งอยู่ระหว่างแม่น้ำเจ้าพระยาและแม่น้ำน้อย มีความกว้าง 40-150 ม. ยาว18 กม. ครอบคลุมพื้นที่ทั้งหมด 42 ไร่ อยู่ในเขต อ.บางระจัน และ อ.อินทร์บุรี ที่นี่เป็นแหล่งที่มีปลาชุกชุม ปลาทุกชนิดในลำน้ำแม่ลาจะกินอร่อยกว่าปลาในแหล่งน้ำอื่นๆโดยเฉพาะปลาช่อนแม่ลา ซึ่งเป็นที่รู้จักของคนทั่วประเทศ รูปร่างของปลาจะไม่เหมือนปลาช่อนที่อื่น คือครีบหูมีสีชมพู หางมนเหมือนพัด ตัวอ้วน หัวหลิม เนื้อนุ่ม มีมันมาก รูปปลาช่อน แม่ลา
เหตุที่ปลาในลำน้ำแม่ลามีมันมาก เนื่องจากความอุดมสมบูรณ์ของแหล่งอาหารตามธรรมชาติ พื้นน้ำปกคลุมด้วยพืชน้ำและวัชพืช ทำให้น้ำเย็น เหมาะแก่การอยู่อาศัยของปลา ดินก้นลำน้ำก็เป็นโคลนตมมีอินทรีย์วัตถุปะปนอยู่มาก และยังมีความอุดมสมบูรณ์ของแร่ธาติที่ไหลมาจากแอ่งน้ำรอบข้าง ปัจจัยต่างๆเหล่านี้จึงทำให้ปลาในลำน้ำแม่ลา โดยเฉพาะปลาช่อนมีรสชาติอร่อยกว่าที่อื่น

สิงห์บุรี ได้ชื่อว่าเป็นจังหวัดที่มีชื่อเสียงในเรื่องปลาช่อนรสดี เป็นที่ติดอกติดใจแก่ผู้เคยลิ้มลองมานับไม่ถ้วน และหากจะพูดถึงปลาของจังหวัดสิงห์บุรีแล้ว ก็คงต้องนึกถึง “ ปลาช่อนแม่ลา ” ที่มีรสชาติความอร่อยแตกต่างจากปลาช่อนที่อื่นๆโดยสิ้นเชิง
ปลาช่อนแม่ลา หลายคนคงเคยเห็นปลาช่อนแม่ลาย่างไฟอ่อนๆจนเกล็ดและหนังเกรียมดำปลาช่อนเผา เมื่อแกะหนังออกมาแล้วก็จะเห็นเนื้อปลาสีขาวออกน้ำตาลอ่อนๆ มีกลิ่นหอม เนื้อนุ่ม ทานกับน้ำจิ้มปลา โดยมียอดสะเดาย่างไฟเป็นเครื่องเคียง ใครได้ทานเมนูนี้ก็ต้องบอกว่า นี่แหละสุดยอดปลาช่อนแม่ลาเผา ที่ติดอกติดใจนักชิมนักกินชนิดที่เอาอะไรมาแลกก็ไม่ยอม และหากใครอยากได้รสชาติปลาแม่ลาที่แท้จริงแล้ว ก็ต้องบอกว่าให้มาทานที่สิงห์บุรีเท่านั้น หากทานนอกเขตพื้นที่สิงห์บุรีแล้ว ก็ไม่รับประกันว่าจะได้ทานปลาช่อนแม่ลาที่เป็นต้นตำรับได้ อาจเป็นปลาช่อนเลี้ยงแล้วนำมาย่างแบบเดียวกับสูตรที่สิงห์บุรีก็เป็นไปได้ และก็เป็นแบบนั้นจริงๆด้วย
food for health คิดว่าหลังจากสถานการณ์น้ำท่วมที่พึ่งผ่านพ้นไป ปลาที่ชุกชุมในลำน้ำแม่ลา เริ่มหายาก เราควรจะช่วยอนุรักษ์ หาพันธุ์ปลา มาปล่อยที่แม่ลาให้กลับมาอุดมสมบูรณ์อีกครั้ง

ที่มา http://www.healthcorners.com/2007/webboard/view.php?board_name=runner&q_id=1594

ฟรี!!!หาเพื่อน หาแฟน คู่รัก คนรู้ใจ ฟรี!!!
http://www.illbemarried-opalydism.blogspot.com/ฟรี!!!

พระกระโดดกำแพง ใครเคยชิมบ้าง food for health นำเสนอเกร็ดน่ารู้สุดยอดอาหารฮ่องเต้

พระกระโดดกำแพง 
        มีเรื่องเล่าว่า องค์ชาย 14 แห่งราชวงศ์ชิง รู้ตัวว่า ถูกองค์ชาย 4 วางแผนชิงอำนาจ ทำให้พระองค์บรรทมไม่หลับ เสวยไม่ได้ ผู้ปรุงอาหารในราชสำนัก จึงเปิดตำราระดมสุดยอดอาหาร เพื่อนำไปถวายบำรุงกำลังวังชาฮ่องเต้ อาหารชนิดนั้นต้องใช้กระบวนการตุ๋นถึง 18 ชั่วโมง
        ทันทีที่พระองค์เปิดฝาโถใส่อาหาร กลิ่นหอมของอาหารฮ่องเต้ ก็โชยออกสู่นอกพระราชวัง เข้าจมูกหลวงจีนวัดเส้าหลิน หลวงจีนก็เลยตบะแตก ทนไม่ได้ ใช้วิชาตัวเบากระโดดข้ามกำแพงมาเอ่ยปากขอชิม อาหารสูตรนี้ จึงได้ชื่อว่า พระกระโดดกำแพง ตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา
        บ้างก็บอกว่า เป็นเรื่องที่พระจีนกำลังออกบิณฑบาตอยู่ แต่ไม่มีใครใส่บาตรเลย พระท่านหิวมาก จนเกิดอาการตาลาย กระทั่งเดินผ่านบ้านหลังหนึ่ง กำลังปรุงอาหารอยู่ กลิ่นอาหารหอมเข้าจมูก พระท่านก็เลยกระโดดข้ามรั้วบ้านเข้ามา


ทั้งสองเรื่องที่กล่าวมา ต่างเป็นเรื่องเล่า สุดยอดอาหารฮ่องเต้


       ส่วนประกอบในพระกระโดดกำแพง มีตั้งแต่ หูฉลาม, ปลิงทะเล, กระเพาะปลาสด, รังนก, เป๋าฮื้อ ฯลฯ หูฉลามเองก็แบ่งได้หลายเกรด แต่ชนิดแพงสุด คือ ครีบหรือหูของ ‘ฉลามเสือ’ เส้นใหญ่เท่าไม้จิ้มฟัน ถือว่าเป็น ‘ราชาแห่งหูฉลาม’ ต้องมาจากประเทศ ‘โอมาน’ จึงจะถือว่ามีคุณภาพดี ราคาแพงที่สุดในโลก หูขนาด 14-16 นิ้ว ราคาขายชั่งละกว่าแสนบาท
       นอกจากนี้ ยังมี หมูแฮมจีน จากยูนนาน (ที่นี่จะมีอากาศหนาวทั้งปี ชนิดเย็นเฉียบเลยทีเดียว เขาจะมีกรรมวิธีเอาขาหมูไปฝังดินหมักด้วยความเย็นของดิน จะอร่อยวิเศษกว่าวิธีใดๆ) 
       เอ็นกวาง, กระเพาะปลาสด (ถ้าเอามาปรุงพระกระโดดกำแพง ต้องเลือกอย่างหนา และต้องเป็นกระเพาะปลาตัวผู้เท่านั้น ตามธรรมชาติแล้วตัวผู้จะเนื้อแน่นกว่าตัวเมีย)
       เห็ดหอม, ปลิงทะเลแห้ง (อย่างดีต้องมาจากออสเตรเลีย ต้องแช่น้ำ 1 วันก่อนนำมาปรุงอาหาร เชื่อว่า ช่วยเสริมพลังเพศเป็นอย่างดี ไม่มีคอเลสเตอรอล), หอยเชลล์แห้ง (กังป๋วย), เป๋าฮื้อแห้ง (มีแบบขอบเขียว กับขอบดำ มีให้เลือก 20 เกรด ดีที่สุดต้องมาจากเม็กซิโก เป๋าฮื้อชั้นดี เวลาเอามีดกรีดลงไปในเนื้อ จะมีเสียงคลิก แสดงว่า เนื้อกรอบแน่น เอามาทำสเต๊กเป๋าฮื้อก็อร่อย) , นกเป็ดน้ำ (สมัยนี้ใช้ไก่ดำแทน เพราะนกเป็ดน้ำจะสูญพันธุ์แล้ว) รวมถึง โสมเกาหลี, ยาจีน (ฮ่วยชัง เก๋ากี้) และ เหล้าจีน และส่วนที่ขาดไม่ได้ ก็คือ  
 ตังฉั่งเช่า ถ้าขาดเมื่อไหร่จะกลายเป็นพระปลอมทันที 


"ตังฉั่งเช่า" เป็นหญ้าชนิดหนึ่ง ขึ้นในแถบทิเบต ช่วงดึกอากาศหนาวเย็น มันจะดูพลิ้วไหวตามสายลม ดูมีชีวิตชีวา มองคล้ายตัวหนอนคลานอยู่ตามพื้นดิน ราคาชั่งละประมาณ 60,000-200-000 บาท (1 ชั่งมี 6 ขีด)














      เมื่อได้ส่วนผสมทุกอย่างแล้วใส่รวมกัน เคี่ยวไฟอ่อนๆ ประมาณ 12-18 ชั่วโมง จึงได้เมนูเด็ด "พระกระโดดกำแพง"


**สำหรับในเมืองไทยที่ทำขาย จะประกอบด้วยหูฉลาม หมูแฮมจีน เอ็นกวาง กระเพาะปลาสด
เห็ดหอม ปลิงทะเล หอยเชลล์แห้ง (กังป๋วย)
เป๋าฮื้อแห้ง โสมเกาหลี ยาจีน (ฮ่วยซัว เก๋ากี้) เหล้าจีน ตังฉั่งเช่า (สมุนไพรจีน)  เคี่ยวรวมกัน 12 ชม.


      บางที่ก็เป็นหูฉลาม,เป๋าฮื้อ,นกพิราบ,ปลิงทะเล,กระเพาะปลา,เห็ดหอมแห้ง,กัง ป๋วยแห้ง,เอ็นกวาง พร้อมด้วย"เครื่องยาจีน"ตำรับโบราณขนานแท้
บางแห่งก็ขายกันหม้อละหมื่นสี่พันบาท
      สูตรที่ทำขายแบบมีให้พอซื้อหาทานได้ ประกอบด้วยสุดยอดเครื่องปรุง 18 อย่าง ซึ่ง ได้แก่ เก๋ากี้ โสม ตังกุย ตังเซียม ผ่อซัว ตังกุย พุทราจีนแดง เห็ดหอม กังป๋วย หอยสังข์ขาว หอยสังข์แดง เหล้าเช่าชิง ขาหมูแฮม ไก่ดำ ปลิงทะเล กระเพาะปลาสด หูฉลาม เป๋าฮื้อ โดยเฉพาะส่วนประกอบ 4 อย่างหลัง เป็นอาหารสุดยอดราคาแพงที่ให้คุณประโยชน์ ในด้านการบำรุงและรักษาอย่างมาก ดังปรากฎในหนังสือการแพทย์ของราชวงค์ชิง และราชวงศ์หมิง

ที่มา:

Food for health เครื่องดื่ม 5 เมนูเพื่อสุขภาพ

ทุกวันนี้คุณยังชอบดื่มน้ำอัดลมกันอยู่หรือเปล่า ถ้าตอบว่าใช่ คุณคงต้องเปลี่ยนความคิดกันได้แล้ว เพราะผมจะพาคุณไปพบกับเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพที่ทำได้ง่ายๆ และก็มีรสชาติอร่อย ป้องกันและการบรรเทาอาการต่างๆ และไม่ส่งผลเสียต่อร่างกายของคุณอย่างแน่นอน...

เมนูเพื่อสุขภาพที่คุณหาซื้อรับประทาน และสามารถทำได้เอง ซึ่งมีทั้งประโยชน์ต่อสุขภาพร่างกาย และยังช่วยบรรเทาอาการต่างๆ ดีต่อสุขภาพ

1.น้ำลูกเดือยทรงเครื่อง
สรรพคุณ : ช่วยขับปัสสาวะ ช่วยเจริญอาหารบำรุงกระดูก บำรุงสายตา
วิธีทำ : นำลูกเดือยและข้าวมันปูกล้องต้มจนเปื่อย แล้วปั่นรวมกัน จากนั้นก็กรองแยกกากออก โรยเกลือเล็กน้อย ก่อนเสิร์ฟนำไปแช่ตู้เย็นให้เย็น หรือดื่มตอนอุ่นๆ ก็ได้

2.น้ำงาดำ
สรรพคุณ :ช่วยรักษาระดับคอเรสเตอรอล ป้องกันไม่ให้เกิดหลอดเลือดอุดตัน หรือหลอดเลือดแข็งตัว บำรุงประสาท แก้เหน็บชา ลดอาการนอนไม่หลับ ป้องกันอาการท้องผูกและเบื่ออาหาร
วิธีทำ :นำงาดำป่น งาขาวป่น ถั่วเหลืองป่นผสมน้ำต้มจนเดือด และใส่น้ำตาลทรายแดงสักหน่อย โรยเกลืออีกสักนิด ก็จะได้น้ำงาดำอร่อยๆ อุ่นๆ พร้อมดื่มได้ทุกวัน

3.โอวัลตินปั่นวุ้นธัญพืช
สรรพคุณ :ในโอวัลตินไฟว์เกรนส์จะมีส่วนผสมของธัญพืชทั้ง 5 ชนิดที่เข้าไปช่วยรักษาสมดุลในร่างกายให้แข็งแรงและสดใส ส่วนลูกเดือยต้มสุกก็มีฤทธิ์เป็นยาเย็น ช่วยแก้ร้อนใน ถั่วเหลืองก็ช่วยลดคอเรสตอรอลและป้องกันโรคหัวใจได้
วิธีทำ :นำโอวัลตินแบบผงหรือโอวัลตินไฟว์เกรนส์มาชงใส่นมข้นหวานแล้วปั่น จากนั้นก็นำวุ้นธัญพืช (ผงวุ้นสำเร็จรูปต้มกับน้ำ แล้วเติมธัญพืช) มาตัดเป็นชิ้นแล้วใส่ลงไปในแก้ว

4.สมูธตี้โยเกิร์ตจมูกข้าวสาลี
สรรพคุณ :โยเกิร์ตและผลไม้ที่ใช้เป็นแหล่งรวมวิตามินทั้งบีและซี ป้องกันโรคหลอดเลือดหัวใจ ช่วยรักษาสุขภาพลำไส้ใหญ่ จมูกข้าวสาลีมีใยอาหารป้องกันท้องผูก และมีวิตามินอี ซึ่งสามารถป้องกันโรคต้อกระจก
วิธีทำ :จมูกข้าวสาลีผง โยเกิร์ตรสธรรมชาติหรือรสผลไม้รวม น้ำส้มคั้น กล้วยหอม น้ำผึ้งแทนหรือน้ำตาลทรายแดง และน้ำแข็ง นำมาปั่นรวมกัน

5.น้ำเต้าหู้ผสมเต้าฮวยธัญพืช
สรรพคุณ :ช่วยในการขับถ่าย ป้องกันมะเร็งทางเดินอาหาร และในถั่วเหลืองจะมีเลซิทิน ซึ่งเป็นสารบำรุงสมอง เพิ่มความจำ ลดไขมัน และลดคอเรสเตอรอลในร่างกาย
วิธีทำ : นำถั่วเหลืองบดด้วยเครื่องพร้อมกับน้ำเปล่า กรองกากออก นำน้ำนมที่ได้ตั้งไฟอ่อนๆ เติมเกลือเล็กน้อย คนเรื่อยๆ แล้วเติมน้ำตาลตามใจชอบ จากนั้นก็เทใส่เต้าฮวยธัญพืช (ผงเต้าฮวยสำเร็จรูปทำตามขั้นตอนแล้วเติมธัญพืชที่ชอบก่อนที่จะจับตัวเป็น วุ้น) ที่ตัดเป็นแบ่งเป็นชิ้นเล็กๆ ลงไปในแก้วน้ำเต้าหู้ ได้ทั้งน้ำได้ทั้งเนื้อ อิ่ม!

ตลอดการทำงาน 5 วัน มารักษาสมดุลให้กับร่างกาย ด้วยเครื่องดื่มที่ผสมธัญพืช 5 ชนิด ที่หาดื่มได้ง่ายๆ ไม่เสียเวลา และทำเองได้ง่ายๆ สามารถดื่มตอนเย็น ก่อนนอน ดื่มตอนเช้าหรือดื่มเป็นของว่างระหว่างวันการทำงาน ก็ทำให้ร่างกายของคุณได้รับสารอาหารที่มีประโยชน์ครบทั้ง 5 ธาตุของร่างกาย ส่งผลให้ตลอดอาทิตย์นั้นคุณรู้สึกสดชื่นและมีสุขภาพแข็งแรงในระยะยาว หันมาดื่มกันเยอะๆ นะครับพี่น้อง

ที่มา โดย : ศรัญญา โรจน์พิทักษ์ชีพ http://www.108health.com/108health/topic_detail.php?mtopic_id=168&sub_name=%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%B9%E0%B8%AD%E0%B8%B2%E0%B8%AB%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E&sub_id=18&ref_main_id=4&mtop_name=5%20%E0%B9%80%E0%B8%A1%E0%B8%99%E0%B8%B9%E0%B9%80%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%94%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B9%80%E0%B8%9E%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%B8%E0%B8%82%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%9E

 

ฟรี!!! หาเพื่อนหาแฟน คู่รัก คนรู้ใจ ฟรี!!! หาเพื่อน หาแฟน คนรู้ใจ ได้ที่นี่ฟรี!!!! www.illbemarried-opalydism.blogspot.com

Food for health นำเสนอข้อปฏิบัติในการใส่บาตร เป็นแง่คิดดีๆ มาแนะนำกันนะครับ

clip_image001

1. นิมนต์พระ
หลังจากที่เราเตรียมสำรับกับข้าวเรียบร้อยแล้ว เราก็ยืนรอพระที่จะเดินบิณฑบาตผ่านมา การยืนรอพระในขั้นตอนนี้ ควรศึกษาให้ดีเสียก่อนว่า เส้นทางนี้มีพระเดินผ่านหรือไม่ ไม่ใช่ว่าไปรอบนทางสายเปลี่ยวที่ไม่มีพระเดินผ่าน คงไม่ได้ใส่กันพอดี รอซักพัก พอมีพระเดินมาก็นิมนต์ท่าน
การนิมนต์ ก็ควรใช้คำว่า "นิมนต์ครับ/ค่ะท่าน" แค่นี้พระท่านก็ทราบแล้ว ตอนเป็นพระเคยเดินบิณฑบาตที่ตลาดเขมร โยมนิมนต์ด้วยถ้อยคำอันรื่นหูว่า "ท่านเจ้าประคุณเจ้าคะ นิมนต์เจ้าค่ะ" ( ใช้คำไฮโซมาก) มีอีกทีนึงโยมใช้คำว่า "นิมนต์เจ้าค่ะ พระอาจารย์ " ( เอ่อ โยม อาตมาเพิ่งบวชอาทิตย์เดียว) การนิมนต์พระควรนิมนต์ด้วยความสำรวมและใช้เสียงดังพอประมาณ โยมบางคนเรียกพระด้วยเสียงอันดัง "นิ โมนน!!" (แง้ทำไมต้องตะคอกด้วย)
การนิมนต์ควรสังเกตอายุของพระด้วย ถ้าอายุน้อยกว่าเราหรือว่าเยอะกว่าไม่มากก็เรียกว่าหลวงพี่ ถ้ามีอายุหน่อยก็เรียกหลวงน้า ถ้าแก่พรรษามากก็เรียกหลวงตา หรือนอกจากนี้ก็อาจจะเรียกหลวงอา หลวงลุง หลวงปู่ฯลฯ แล้วแต่จะลำดับญาติ อย่างฉันปีนี้อายุ ๒๓ ปี หน้าตาค่อนข้างเด็ก แต่เคยมีโยมใช้คำว่า "นิมนต์ค่ะ หลวงลุง " ทำเอาเสีย self" จนอยากสึกออกไปทำ baby face โยมบางคนคงเขินอายพระ เนื่องจากไม่ค่อยได้ใส่บาตรเท่าไร เวลาพระเดินมาก็ยื่นมือออกมาทำท่ากวักๆ ทำเหมือนพระเป็นรถเมล์ หลังจากนิมนต์พระ ก็เข้าสู่ขั้นตอนถัดไปคือ
2. จบ
อันนี้ไม่ได้หมายความว่าเรื่องจบแล้วนะ การจบ หมายถึง การเอามาทูนไว้ที่หัวแล้วอธิษฐาน การจบ ควรใช้เวลาอธิษฐานแต่พองาม ไม่ต้องอธิษฐานนานจนเกินไป เคยมีโยมนิมนต์ไปรับบาตร ไอ้เราก็เดินไปเปิดฝาบาตรรอรับ โยมก็จบอยู่ ขอบอกว่านานมากกกกกกก นานจนรู้สึกได้ นานจนอดคิดไม่ได้ว่า "โยมขออะไรเราน้า ?"

3. ถอดรองเท้า ยืนด้วยเท้าเปล่า
จริงๆแล้ว จุดประสงค์ของการถอดรองเท้าคือเป็นการให้ความเคารพพระสงฆ์โดยการไม่ยืน สูงกว่าท่าน เพราะเวลาพระสงฆ์บิณฑบาตจะเดินเท้าเปล่า แต่มีญาติโยมบางคนไม่เข้าใจเกี่ยวกับการถอดรองเท้าซึ่งมีหลายประเภทเหมือนกัน เช่น บางคนถอดรองเท้าอย่างเรียบร้อยแต่ยืนบนรองเท้า - -" ( สูงกว่าเดิมอีก) บางคนถอดรองเท้าและยืนบนพื้นจริง แต่ว่า ตัวเอง ยืนบนฟุตบาท พระยืนบนพื้นถนนซะงั้น (หนักกว่าเก่า) เคยมีเรื่องเล่าว่า มีโยมคนนึงยืนใส่บาตรพระ พระเห็นว่าโยมใส่รองเท้าเลยแนะนำโยมไปว่า
พระ : "โยม อาตมาว่าโยมควร ถอดรองเท้าใส่บาตร นะ"
โยมมีสีหน้าตกกะใจ ตอบพระไปว่า
โยม : เอ่อ จะดีเหรอคะ
พระ : ไม่เป็นไรหรอกโยม
โยมก็จัดแจงถอดรองเท้า ยกขึ้นมาพร้อมกับถามพระว่า
โยม : จะให้ใส่ข้างเดียวหรือว่าสองข้างเลยคะ
อีบ้า!! ท่านหมายถึงถอดรองเท้าเวลาใส่บาตร ไม่ใช่ถอดรองเท้าเอามาใส่ในบาตร อันนี้เป็นเรื่องที่หลวงน้าท่านนึงเล่าให้ฟังระหว่างฉันเพล ( เรื่องขำขันขณะฉันเพล) พอถอดรองเท้าเสร็จก็เข้าสู่ขั้นตอนที่สี่

4. ใส่บาตร
อันนี้ถือเป็นจุดไคลแมกซ์ของการใส่บาตร สิ่งสำคัญที่ทุกคนมองข้ามก็คือควรดูว่าของที่นำมาใส่บาตรนั้น เสียรึเปล่า บางคนมีเจตนาอยากทำบุญดี แต่ดันไปซื้อของเสียมาใส่บาตร พระฉันไป เข้าห้องน้ำไป พวกร้านค้าก็จริงๆ บางครั้งเอาของค้างคืนมาขายเอากำไร ไม่สนใจพระเจ้า เห็นแก่ตัว หากินกับพระ ก็ฝากด้วยนะครับ เดี๋ยวทำบุญจะได้บาปเปล่าๆ
นอกจากนี้ ของที่นำมาใส่ ถ้าเพิ่งปรุงสุกเสร็จ ควรดูด้วยว่ามันร้อนมากรึเปล่า เคยมีโยมใส่แกง ร้อนมากๆๆ บาตรเกือบหล่น ทั้งนี้เพราะบาตรทำจากโลหะ นำความร้อนได้ดี ปริมาณไม่ควรมากจนเกินไป เคยมีโยมใส่บาตรด้วย "กล้วย ๓ หวี" กล้วยเล็บมือนาง กล้วยไข่ อาตมาไม่ว่า แต่นี่ใส่ "กล้วยหอม"  คิดดู "กล้วยหอม ๓ หวี" อยู่ในบาตร หนักมากกกก จนอยากบอกโยมว่า "โยม อาตมาไม่ใช่ช้าง" การใส่ก็ควรวางในบาตรด้วยอาการสำรวม โยมผู้หญิงบางคนกลัวโดนพระจัด พอถุงกับข้าวถึงแค่ปากบาตร ก็ปล่อยลงมา ตุ๊บ!! นึกว่ากาลิเลโอกลับชาติมาทดลองเรื่องแรงโน้มถ่วงของโลก (วางดีๆก็ได้ 55)

5. รับพร
หลังจากใส่บาตรเสร็จ พระสงฆ์ส่วนมากก็จะให้พร เราเป็นญาติโยม ก็ประนมมือรับพรกันตามระเบียบ โดยอาจยืนหรือนั่งยองๆ ก็ได้ ก้มหัวแต่พองาม เคยมีโยมยืนประนมมือ แต่ก้มหน้ามาแทบชนพระ ห่างจากหน้าพระประมาณคืบเดียว (ไม่ต้องใกล้ชิดศาสนาขนาดนั้นก็ได้โยม (ตอนนั้นให้พรเบาๆ เพราะไม่มั่นใจเรื่องกลิ่นปาก) ถ้าเป็นโยมผู้หญิงก็นั่งให้เรียบร้อย เหมาะสม ระหว่างนี้ก็อุทิศส่วนกุศลให้คนที่รัก เจ้ากรรมนายเวรและอื่นๆ ก็ว่ากันไป

การใส่บาตรที่อยากแนะนำก็มีประมาณเท่านี้ ขั้นตอนการทำบุญง่ายๆ ตื่นเช้ามาใส่บาตรกันเถอะครับ พี่น้อง

ท้ายนี้หากมีข้อผิดพลาดประการใด ข้าพเจ้าขออภัยไว้ ณ ที่นี้ด้วยนะครับพี่น้อง

หาเพื่อน หาแฟน คู่รักได้ที่นี่

มาม่า Food for health อาหารเพื่อสุขภาพ(ขำขัน)

สูตรในการทำมาม่าให้อร่อย สูตรที่ 1 > ไข่แดงพิโรธ !! (7 - 10 บาท)


 





อุปกรณ์ได้แก่ มาม่าหมูสับ 1 ซอง , ไข่ 1 ฟอง , พริกป่น , น้ำปลา

1. เทมาม่าลงไปในถ้วย เทน้ำตาม (ปริ่มมาม่า) ตอกไข่ลงไป
2. ยัดเข้าไมโครเวฟ ตั้งความร้อน 100c ระยะเวลา 3.50 นาที
3. รอจนเสร็จ ใส่เครื่องปรุงที่แถมมา และน้ำปลา พริกป่นตามใจ

Reaction :
" ไข่แดงพิโรธ !! คือการหลอมรวมอย่างลงตัวของโปรตีนและแป้ง
ไข่ขาวเป็นก้อนนิ่ม ๆ เหมือนเจลลี่ ส่วนไข่แดงก็ละม้ายคล้ายปีโป้
รสชาติที่ได้ คือความธรรมดา ๆ ในรูปแบบของสูงสุดคืนสู่สามัญ...
เรียบง่าย แต่ได้ใจ... "



สูตรที่ 2 > สามแม่ครัวร้อนรัก !! ( 15 - 20 บาท )
 

อุปกรณ์ได้แก่ มาม่าต้มยำกุ้ง 1 ซอง , ปลากระป๋อง , มะนาว , น้ำปลา
1. เทมาม่าลงไปในถ้วย เทน้ำตาม(ปริ่มมาม่า) เทปลากระป๋องลงไป
1.1. ปลากระป๋องไม่ควรเทหมด คัดเอาเฉพาะที่พอกิน
1.2. ไม่ควรเทน้ำปลากระป๋องลงไปหมด เพราะจะเลี่ยนจนทานไม่ลง
2. ยัดเข้าไมโครเวฟ ตั้งความร้อน 80c ระยะเวลา 3.00 นาที
3. รอจนเสร็จ ใส่เครื่องปรุงที่แถมมา น้ำปลา และมะนาว(เยอะหน่อยก็ดี)

Reaction :
" สามแม่ครัวร้อนรัก !! คือสูตรลับเฉพาะของพวกที่มีวัตถุดิบเหลือ ประมาณว่าที่บ้านรับบริจาคข้าวสารอาหารแห้งมา แล้วอยากลองทำ ต้องกะแต่เพียงพอดี ไม่มากและไม่น้อยเกินไป มิเช่นนั้นจะไม่น่ากินหากมากไปก็จะทำให้เลี่ยน เพราะน้ำมันในปลากระป๋อง นั่นทำให้มันแย่ ส่วนผสมของปลากระป๋องกับมาม่า นั่นคล้ายกับสามแม่ครัวกำลังสวิงกิ้ง
คลุกเคล้าความเป็นต้มยำกุ้ง ( แต่ไม่มีตังค์ซื้อกุ้งมาใส่ ) เรียกได้ว่า...อร่อยร้อนแรง...แต่แฝงไว้ด้วยความสุข( ส่วนตัว) "

คำเตือน :
" ปลากระป๋องใช้ยี่ห้ออะไรก็ได้...แล้วแต่คนจะชอบนะ "



สูตรที่ 3 > ยาจกพิโรธ !! ( 5 บาท )
 


อุปกรณ์ได้แก่ มาม่าหมูสับ 1 ซอง , ซอสพริก ( แบบขวดหรือแบบแถม )
1. เทมาม่าลงไปในถ้วย เทน้ำตาม(ปริ่มมาม่า)
2. ยัดเข้าไมโครเวฟ ตั้งความร้อน 80c ระยะเวลา 2.30 นาที
3. รอจนเสร็จ ใส่เครื่อง และซอสพริกลงไป ตามลำดับความค่นแค้น
Reaction :
" ยาจกพิโรธ !! คือสูตรง่าย ๆ ที่ทำให้คุณเสพซึ้งถึงความร้อนแรงได้
โดยเฉพาะเวลาคุณมีซอสพริกที่แถมมากับข้าวไข่เจียว หรือหอยทอด
เหลืออยู่เต็มบ้าน ไม่รู้จะจัดการอย่างไร วิธีนี้ช่วยคุณได้อย่างมากแน่
ด้วยราคาที่ประหยัดสุด ๆ แถมเป็นการรีไซเคิลวัตถุดิบที่เหลือใช้....
จึงเรียกได้ว่าเป็นสูตรสำหรับคนยากจนผู้ตระหนี่อย่าง แท้จริง... "
คำเตือน :
" หากใส่หยาดน้ำตาแห่งความอาภัพลงไปด้วย จะอร่อยอย่างไม่น่าเชื่อ


สูตรที่ 4 > ไฮโซบ้านนอก !! ( 20 - 100 บาท ) 



อุปกรณ์ได้แก่ มาม่าหมูสับ 1 ซอง , หมูยอ , แหนม , ปูอัด , ไส้กรอก, ผักนานาชนิด , มะนาว , น้ำปลา , ซีอิ๊วขาว , น้ำมันหอย

1. เทมาม่าลงไปในถ้วย เทน้ำตาม(ท่วมมาม่า)
1.1. เทอาหารประเภทเนื้อลงไป รวยมากใส่มาก รวยน้อยใส่น้อย
2. ยัดเข้าไมโครเวฟ ตั้งความร้อน 80c ระยะเวลา 3.00 นาที
3. รอจนเสร็จ ใส่เครื่องปรุงที่แถมมา บวกผักนานาชนิด
3.1. เครื่องปรุงที่เหลือใส่ตามระดับความ "เค็ม"
Reaction :
" ไฮโซบ้านนอก !! คือสูตรลับเฉพาะของคนในแวดวงคุณหญิงคุณชาย
ที่มีเครื่องเพชรเต็มบ้าน แต่ยังคงความประหยัด อยากกินมาม่าแบบไฮโซ
เพราะฉะนั้นส่วนประกอบจึงอลังการดาวล้านดวง มากกว่ามาม่าโลโซทั่วไป
สารอาหารที่ครบครัน ช่วยเสริมสร้างบารมีแห่งความอวบเข้าไปในทรวดทรง
เป็นไฮโซแต่แฝงไว้ด้วยความบ้านนอกอย่างทัดเทียม... "

คำเตือน :
" ด้วยราคาประมาณนี้...แนะนำให้ไปกินอาหารตามสั่ง ดูจะฉลาดกว่า "

สูตรที่ 5 > บาร์เทนเดอร์รำลึก !! ( 5 บาท )



อุปกรณ์ได้แก่ มาม่าต้มยำ 1 ซอง

1. แกะซองออก เอาเครื่องปรุงออกมา เอามือบีบให้เส้นละเอียด
2. เทเครื่องปรุงลงไปในซอง เริ่มจากน้ำมัน และพริกตาม
3. เขย่าอีกกี่ครั้ง ก็แล้วแต่ความพอใจ ( ยิ่งมากยิ่งดี )
Reaction :
" บาร์เทนเดอร์รำลึก !! คืออารมณ์ของการย้อนกลับไปเป็นเด็กวัยขบเผาะ
ลองนึกถึงตอนที่คุณไปเข้าค่ายสิ ไม่ว่าจะลูกเสือ เนตรนารี หรือ ร.ด.
เป็นสูตรที่เรียกได้ว่า " สากลโลก " ไม่ว่าใครก็ต้องเคยลองกันมาแล้ว
นอกจากจะได้อรรถรสในรสชาดแล้ว ยังได้ออกกำลังไปในตัวด้วย...
ยิ่งเขย่ามากเท่าไหร่ ยิ่งแข็งแรงเท่านั้น...ประโยชน์รอบด้านจริง ๆ ...
และที่สำคัญมันสามารถนำไปเป็นกับแกล้มในวงสุราได้อีก ด้วยนะเนี่ย
...ยกเว้นก็แต่โรคกระเพาะจะถามนั่นแหละ... "

คำเตือน :
" ตอนกินควรกินด้วยกันหลาย ๆ คน...เพื่อเข้าสู่ Mode ระลึกชาติ

สูตรที่ 6 > มาม่า GMO !! ( 5 บาท )



อุปกรณ์ได้แก่ มาม่าต้มยำ 1 ซอง , มะนาว , น้ำปลา , กุ้งแห้ง
ผักชี , คื่นช่าย , หรืออะไรก็ตามที่เขาใส่ในข้าวต้มหมู...
ข้าวสวย 1 ป๊าบ ( เอ่อ...มันคือช้อนใหญ่ ๆ ผมเรียกไม่ถูก ^ ^" )

1. เทข้าวสวยลงไปในถ้วย เทมาม่าและน้ำตาม(ปริ่มมาม่า) พร้อมกุ้งแห้ง
2. ยัดเข้าไมโครเวฟ ตั้งความร้อน 80c ระยะเวลา 3.00 นาที
3. รอจนเสร็จ ใส่เครื่องที่แถมมาลงไป นอกนั้นใส่ตามความต้องการ

Reaction :
" มาม่า GMO !! คือการดัดแปลงพันธุกรรมของมาม่า โดยนักโภชนาการ
ผลที่ได้คือส่วนผสมของมาม่าและข้าวต้ม เป็นลูกครึ่งข้ามขีดทางสายพันธุ์
ประมาณว่าได้อรรถรสในต้มยำของมาม่า และเมล็ดข้าวต้มที่ชอนไชผ่านลิ้น
ส่วนผสมดังกล่าวนี้ไม่ก่อให้เกิดอันตรายแก่ร่างกายแต ่อย่างใด...
และเป็นประโยชน์อย่างยิ่งสำหรับพวกที่ชอบหุงข้าวเหลื อนะครับ "

คำเตือน :
" โปรดระวังกลุ่มกรีนพีช จะมาประท้วงที่หน้าบ้าน………"

เครดิต : FWD Mail
��� test,http://www.bknowledge.org/index.php/object/page/access/cmsPage/cmsid/10.html
หาเพื่อน หาแฟน ต่างประเทศได้ที่นี่ www.illbemarried-opalydism.blogspot.com

ข้าวกล้องงอก อาหารเพื่อสุขภาพ food for health

     ปัจจุบันข้าวกล้องคนไทยจำนวนหนึ่งหันมาใส่ใจสุขภาพ ได้หันมาบริโภคข้าวกล้องหรือผลิตภัณฑ์จากข้าวกล้องแทนข้าวขาว (ข้าวสาร) เนื่องจากข้าวกล้องผ่านกรรมวิธีการสีเพียงครั้งเดียวเพื่อเอาเปลือก (แกลบ) ออกไป ทำให้ข้าวที่เหลือยังมีจมูกข้าวและเยื่อหุ้มเมล็ดข้าว (รำ) อยู่ครบถ้วน ซึ่งจมูกข้าวและเยื่อหุ้มเมล็ดข้าวนี้ล้วนอุดมไปด้วยวิตามิน แร่ธาตุ และเส้นใยอาหาร จึงเป็นประโยชน์ ต่อร่างกายมากกว่าข้าวประเภทอื่น ๆ อย่างไรก็ตามแม้ผู้บริโภคส่วนใหญ่จะรู้ว่าข้าวกล้องมีประโยชน์ แต่ไม่นิยมบริโภคเท่าที่ควร เพราะมีข้อด้อยกล่าวคือ เนื้อแข็ง ทำให้รู้สึกว่ากินไม่อร่อย แต่ถ้าหากปรับปรุงคุณภาพให้ดีขึ้น ก็จะมีผู้หันมานิยมบริโภคมากขึ้นทั้งนี้ข้าวกล้องที่ไม่ได้ผ่านการถนอมคุณค่าอย่างถูกหลักวิชาการ หลังจากกะเทาะเปลือกแล้วจะเสื่อมสภาพลงทุก ๆ วินาที ไม่ว่าจะบรรจุในภาชนะพิเศษ สูญญากาศหรือไม่ก็ตาม สาเหตุจากเอนไซม์ไลเปส (lipase) ในข้าวกล้องจะไปย่อยกรดไขมัน มีผลให้กรดไขมันที่ดีในข้าวกล้อง เสื่อมสภาพลง (oxidization) จนมีกลิ่นเหม็นหืนในที่สุด นอกจากนี้ปฏิกิริยา oxidization ยังก่อให้เกิดปัญหา อนุมูลอิสระ (free radicals) ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อสุขภาพร่างกายด้วย 
ส่วนข้าวกล้องงอก (germinated brown rice หรือ GABA-rice)
ถือเป็นนวัตกรรมหนึ่งที่กำลังได้รับความสนใจ เนื่อง จากเป็นข้าวกล้องที่ต้องมาผ่านกระบวนการงอก ตามปกติในข้าวกล้องเองจะมีสารอาหารจำนวนมาก เช่น ใยอาหาร กรดไฟติก วิตามินซี วิตามินอี และ สารกาบา (gamma aminobutyric acid) ซึ่งช่วยป้องกันโรคต่าง ๆ เช่น โรคมะเร็ง เบาหวาน ช่วยควบคุมน้ำหนักตัว เป็นต้น   เมื่อนำข้าวกล้องมาแช่น้ำทำให้งอก จะทำให้ข้าวกล้องมีสารอาหารเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะ สารกาบา นอกจากจะได้ประโยชน์จากการที่มีปริมาณสารอาหารที่สูงแล้ว ยังทำให้ข้าวกล้องงอกที่หุงสุกมีเนื้อสัมผัสที่อ่อนนุ่ม รับประทานได้ง่ายกว่าข้าวกล้องธรรมดา จึงง่ายแก่การหุงรับประทานได้โดยไม่ต้องผสมข้าวขาวจากการศึกษาทางกายภาพและทางชีวเคมีพบว่า เมล็ดข้าวประกอบด้วย เปลือกหุ้มเมล็ด หรือแกลบ (Hull หรือ Husk) ซึ่งจะหุ้มข้าวกล้อง ในเมล็ดข้าวกล้องประกอบด้วย จมูกข้าว หรือ คัพภะ (Germ หรือ Embryo) รำข้าว (เยื่อหุ้มเมล็ด)และเมล็ดข้าวขาวหรือเมล็ดข้าวสาร (Endo- sperm) สารอาหารในเมล็ดข้าวประกอบด้วย คาร์โบไฮเดรตเป็นส่วนประกอบหลัก โดยมีโปรตีน วิตามินบี วิตามินอี และแร่ธาตุที่แยกไปอยู่ในส่วนต่าง ๆ ของเมล็ดข้าว นอกจากนี้ ยังพบสารอาหารประเภท ไขมัน ที่พบได้ในรำข้าวเป็นส่วนใหญ่ ข้าว เมื่ออยู่ในสภาวะที่มีการเจริญเติบโตจะมีการเปลี่ยนแปลงทางชีวเคมี การเปลี่ยนแปลงจะเริ่มขึ้น เมื่อน้ำได้แทรกเข้าไปในเมล็ดข้าว โดยจะกระตุ้นให้เอนไซม์ภายในเมล็ดข้าวเกิดการทำงาน เมื่อเมล็ดข้าวเริ่มงอก (malting) สารอาหารที่ถูกเก็บไว้ในเมล็ดข้าวก็จะถูกย่อยสลายไปตามกระบวนการทางชีวเคมีจนเกิดเป็นสารประเภทคาร์โบไฮเดรตที่มีโมเลกุลเล็กลง (oligosaccharide) และ น้ำตาลรีดิวซ์ (reducing sugar) นอกจากนี้ โปรตีนภายในเมล็ดข้าวก็จะถูกย่อยให้เกิดเป็น กรดอะมิโน และ เปปไทด์ รวมทั้งยังพบการสะสมสารเคมีสำคัญต่าง ๆ เช่น แกมมาออริซานอล (gamma-orazynol) โทโคฟีรอล (tocopherol) โทโคไตรอีนอล (tocotrienol) และโดยเฉพาะ สารแกมมาอะมิโนบิวทิริกแอซิด (gamma-aminobutyric acid) หรือที่รู้จักกันว่า สารกาบา หรือ (GABA)เป็กรดอะมิโนจากกระบวน การ decarboxylation ของ กรดกลูตามิก (glutamic acid)กรดนี้มีความสําคัญในการทำหน้าที่ สารสื่อประสาท (neurotransmitter) ในระบบประสาทส่วนกลางและ สารกาบา ยังเป็นสารสื่อประสาทประเภท สารยับยั้ง (inhibitor) โดยจะทำหน้าที่รักษาสมดุลในสมองที่ได้รับการกระตุ้น ช่วยทำให้สมองผ่อนคลายและนอนหลับสบาย อีกทั้งยังทำหน้าที่ช่วย กระตุ้นต่อมไร้ท่อ (anterior pituitary) ซึ่งทำหน้าที่ผลิตฮอร์โมนที่ช่วยในการเจริญเติบโต (HGH) ทำให้เกิดการสร้างเนื้อเยื่อ ทำให้กล้ามเนื้อกระชับ และเกิดสาร lipotropic ป้องกันการสะสมไขมัน จากการศึกษาและวิจัยพบว่า การ บริโภคข้าวกล้องงอกที่มีสารกาบามากกว่าข้าวกล้องปกติ 15 เท่า จะสามารถป้องกัน การทำลายสมอง เนื่องจากสารเบต้า อไมลอยด์เปปไทด์ (Beta-amyloid peptide) ซึ่งเป็นสาเหตุของโรคสูญเสียความทรงจำ (อัลไซเมอร์) ดังนั้น จึงได้มีการนำ สารกาบา มาใช้ในวงการแพทย์เพื่อการรักษาโรคเกี่ยวกับระบบประสาทต่าง ๆ หลายโรค เช่น โรควิตกกังวล โรคนอนไม่หลับ โรคลมชัก เป็นต้น รวมทั้งผลการวิจัยด้านสุขภาพระบุว่าข้าวกล้องงอกที่ประกอบด้วย สารกาบา มีผลช่วยลดความดันโลหิต ลด LDL (Low densitylipoprotein) ลดอาการอัลไซเมอร์ ลดน้ำหนัก ทำให้ผิวพรรณดี และใช้บำบัดโรคเกี่ยวกับระบบประสาทส่วนกลาง อย่างไรก็ตามก่อนหน้านี้ ข้าวกล้องงอกเคยเป็นผลงานวิจัยของ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ร่วมกับประเทศญี่ปุ่น พบว่ามี สารกาบา มากกว่าข้าว กล้องปกติถึง 15 เท่า ในต่างประเทศ  ได้นำ สารกาบา มาใช้ในวงการแพทย์ เพื่อการรักษาโรคเกี่ยวกับระบบประสาทต่าง ๆ ด้วย การ วิจัยเบื้องต้นของ อาจารย์พัชรี ตั้งตระกูล จากสถาบันค้นคว้าและพัฒนาผลิตภัณฑ์อาหาร มหาวิทยาลัย เกษตรศาสตร์ ได้ทำการศึกษาหาพันธุ์ข้าวที่เหมาะสมและสภาพการผลิตข้าวกล้องงอกที่มี ประสิทธิภาพ พบว่า ข้าวขาวดอกมะลิ 105 เมื่อนำมาเพาะเป็นข้าวกล้องงอกจะมี สารกาบา มากที่สุด (15.2-19.5 มิลลิกรัมต่อ 100 กรัม) สูงกว่าข้าวกล้องชนิดอื่น ๆ ส่วนสภาวะที่ทำให้ข้าวกล้องงอกได้ดีที่สุดคือ ต้องนำข้าวกล้องไปแช่น้ำราว 48-72 ชั่วโมง ในหม้อแช่ โดยมีการควบคุมอุณหภูมิ การไหลเวียนน้ำ ความดัน และความเป็นกรดด่างของน้ำ เพื่อให้ความชื้นจากน้ำไปกระตุ้นให้เมล็ดข้าวงอกและเปลี่ยนกรดกลูตามิกไป เป็นสารกาบาอันเป็นส่วนที่สำคัญที่สุด ต่อมา เมื่อได้ข้าวกล้องงอกในขั้นตอนนี้แล้ว ก็ต้องทำให้ข้าวกล้องงอกหยุดการงอกต่อไป โดยอบแห้งให้มีความชื้นต่ำกว่า 14% ใน หม้ออบแห้ง จากนั้นจึงบรรจุลงในถุงสุญญากาศ ทั้งนี้ ข้าวกล้อง ที่สามารถนำมาแช่น้ำให้เกิดการงอกได้ดีนั้นจะต้องเป็นข้าวกล้องที่ผ่านการ กะเทาะเปลือกมาไม่ เกิน 2 สัปดาห์ เมื่อได้ข้าวกล้องงอกเรียบร้อยแล้ว หากใครอยากจะทำ น้ำข้าวกล้องงอกก็ไม่ยาก นำไปแช่น้ำทิ้งไว้ 3-5 ชั่วโมง ให้ข้าวกล้องงอกเป็นตุ่มเล็ก ๆ บริเวณจมูกข้าว ก็นำไปหุงต้มจนเดือดพล่าน จากนั้นก็ใช้ผ้าขาวบางหรือตะแกรงกรองน้ำข้าวมารับประทานได้ทันที หากไม่ชอบรสชาติเดิม ๆ แนะนำให้เติมเกลือป่นหรือน้ำตาลเล็กน้อย เท่านี้ก็อร่อยลิ้นแล้ว  
หันมากินข้าวกล้องงอกกันเยอะๆนะครับพี่น้อง.....
บทความจาก : เดลินิวส์      

กล้วยหอม อาหารเพื่อสุขภาพ (food for health)หลากสรรพคุณ บำรุงร่างกาย


กล้วยหอม
อาหารเพื่อสุขภาพ (food for health)หลากสรรพคุณ บำรุงร่างกาย
           ในกล้วยหอมมีสารน้ำตาลอยู่ 3 ชนิด คือ ซูโครส (sucrose) ฟรักโทส (fructose) และกลูโคส (glucose) ให้พลังงานแก่ร่างกายพร้อมนำไปใช้ทันที โดยมีรายงานวิจัยยืนยันว่า กล้วยหอม 2 ใบให้พลังงานเพียงพอต่อการทำงานถึง 90 นาที
           เรื่องนี้แฟนเทนนิส คงคุ้นตาภาพนักหวดระดับโลกกินกล้วยหอมระหว่างเกมการแข่งขัน อ้อ! แต่เขาไม่ได้กินรวดเดียว 2 ใบนะ ถ้าขืนทำอย่างนั้นคงกลายเป็นของกล้วยๆ ให้คู่ต่อสู้ได้ชัย นอกจากให้พลังงาน กล้วยหอมยังมีประโยชน์ต่อร่างกายอย่างสำคัญคือช่วยให้คลายความเศร้าซึม
           จาก การสำรวจและวิจัยไต่ถามพร้อมสุ่มตัวอย่างจากคนไข้ที่ป่วยเป็นโรคเศร้าซึม พบว่าส่วนใหญ่จะรู้สึกดีขึ้นเมื่อได้กินกล้วยหอม เพราะในกล้วยหอมมี tryptophan กรดอะมิโนโปรตีน ซึ่งร่างกายแปลงเป็น serotonin สารกระตุ้นที่ทำให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลาย อารมณ์สดใสและมีความสุขมากยิ่งขึ้น
          ขณะ ที่ในสตรีช่วงก่อนมีประจำเดือน อารมณ์จะหงุดหงิดง่าย ไม่อยู่กับร่องรอย และก่อให้เกิดสภาวะต่อร่างกาย เช่น ปวดท้อง ปวดหัว ฯลฯ การกินกล้วยหอมช่วยได้ระดับหนึ่ง
          ช่วย สู้โรคโลหิตจาง ธาตุเหล็กในกล้วยหอมกระตุ้นร่างกายให้ผลิตเฮโมโกลบินในกระแสโลหิต หยุดยั้งภาวะโลหิตจางได้ ส่วนที่เกี่ยวกับความดันโลหิต กล้วยหอมมีเกลือโพแทสเซียมเหลืองอยู่มาก เป็นตัวช่วยความดันเลือด ระดับที่หน่วยงานด้านอาหารและยาของสหรัฐอเมริกาอนุมัติให้เป็นผลไม้ที่มี ส่วนช่วยลดภาวะความเสี่ยงความดันได้จริง
          กล้วยหอมยังมีประสิทธิภาพช่วยผู้ที่ต้องการเลิกบุหรี่ เพราะวิตามินบี 6 บี 12 โพแทสเซียมและแมกนีเซียมที่มีอยู่มาก ช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวเร็วจากการขาดสารนิโคติน ในผู้มีอาการเมาค้าง (ซึ่งไม่ควรมีเพราะไม่ควรเมา)
          สารวิตามิน จะช่วยปรับระดับน้ำตาลในเส้นเลือด และทำให้กระเพาะอาหารอยู่ในสภาวะที่พร้อมทำงานได้เร็วขึ้น และเพราะช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือด การกินกล้วยหอมสัก 1 - 2 คำ ระหว่างมื้อเช้า เที่ยงหรือเย็น ยังทุเลาอาการแพ้ท้องได้
          เส้นใยในกล้วยหอมช่วยให้การย่อยของลำไส้เล็กทำงานดีขึ้น ระบบขับถ่ายในร่างกายทำงานได้ดี ลดปัญหาท้องผูก และสารลดกรดตามธรรมชาติที่มีอยู่ยังช่วย ลดอาการจุกเสียดแน่นท้อง แต่อีกด้านกรดต่างๆ ที่มีอยู่ทำให้มีการเคลือบผิวของกระเพาะ ลดการเป็นแผลในกระเพาะได้
          ส่วนภายนอก บรรเทาแผลยุงกัด หลังยุงกัดจนได้ตุ่มแดง ก่อนใช้ยาทาลองใช้เปลือกกล้วยหอมด้านใน ถูบริเวณที่ถูกยุงกัด ช่วยลดอาการคันหรือบวม
          อ้วน จากทำงานมากเกินไป กล้วยหอมก็ช่วยได้ สถาบันจิตวิทยาในออสเตรียศึกษาและพบว่า ความเครียดจากที่ทำงานทำให้คนกินช็อกโกแลตและพวกโปเตโตชิพส์มากเกินไป และนั่นทำให้น้ำหนักเพิ่มมากขึ้น แต่ถ้าเปลี่ยนมาเป็นกินกล้วยหอมสักเล็กๆ น้อยๆ ประมาณทุกๆ 2 ชั่วโมง จะช่วยปรับระดับน้ำตาลในเลือดและลดการอยากกินของจุกจิก
          เสริม สร้างพลังสมอง ข้อนี้อ้างอิงจากงานวิจัยอังกฤษที่ระบุว่า ในแคว้นมิดเดิลเซกส์ มีนักเรียนจำนวน 200 คนจากโรงเรียนทวิกเคนแนม บอกว่าสอบผ่านเพราะได้กินกล้วยหอมเป็นอาหารเช้า รวมทั้งกินอีกนิดหน่อยในตอนมื้อเที่ยงเพื่อทำให้สมองสดชื่น โดยงานวิจัยพบว่าโพแทสเซียมในกล้วยหอมช่วยนักเรียนให้ตื่นตัวอยู่เสมอ
          การรับประทานกล้วยหอมสุกเป็นประจำจะทำให้ร่างกายได้รับสารเพ็กติน โปรตีน วิตามินเอ วิตามินซี รวมถึงธาตุฟอสฟอรัสและแคลเซียม บำรุงสายตาให้มองเห็นได้ชัดเจนขึ้น ยับยั้งการเกิดโรคต่างๆ ในช่องปาก ลดการเกิดตะคริว และกล้วยหอมเป็นผลไม้เย็น ผ่อนร้อนได้
          รู้แบบนี้ไม่กินไม่ได้แล้วครับพี่น้อง คับผ้มมมๆๆๆ

ที่มา: หนังสือพิมพ์ข่าวสด,
http://www.thaihealth.or.th/node/7436

food for health นำเสนอวิธีลดอาการปวดหลัง ให้หนุ่มและสาวออฟฟิศ

 
วิธีลดอาการปวดหลัง ให้หนุ่มและสาวออฟฟิศ
          ช่วง นี้มีความรู้สึกว่าปวดเมื่อยเนื้อตัวโดยไม่ทราบสาเหตุ เลยลอง เข้าไปหาวิธีต่างๆทางอินเตอร์เน็ตเพื่อรักษาตัวเองแบบเบื้องต้นดู จึงได้พบวิธีการรักษาอาการปวดหลังที่สามารถเกิดขึ้นได้กับทุกๆ คน โดยเฉพาะหนุ่ม สาวออฟฟิศที่ต้องนั่งหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานๆ จะมักพบอาการเหล่านี้มากเป็นพิเศษ เลยอยากนำมาเล่าสู่กันฟัง วิธีง่ายๆเพื่อสุขภาพ
           ดร.โอ๊ต บูรณะสมบัติ นายกสมาคมการแพทย์ไคโรแพรกติกแห่งประเทศไทย เผยว่าตอน นี้โรคปวดหลังกลายเป็นโรคฮิตของคนเมืองที่ ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวันเพราะต้องนั่งหลังขดหลังแข็งอยู่หน้าจอ คอมพิวเตอร์เป็นเวลานาน ส่งผลให้คนกรุงวันนี้มีปัญหาเรื่องกระดูกสันหลังมากขึ้น ในอเมริกาสถิติการบาดเจ็บจากอาการปวดหลังเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นหนึ่งในสาเหตุใหญ่ที่คนอเมริกันส่วนใหญ่นำไปใช้เพื่อ ขอลาป่วยมากขึ้นเป็นอันดับสองรองจากโรคหวัด
           การนั่งอยู่ในรถนานๆ ขณะรถติด หรือต้องขับรถไปธุระไกลๆ เป็นอีกสาเหตุสำคัญที่ทำให้โรคปวดหลังระบาดหนักในกลุ่มคนเมือง คนไข้กว่า 90 % ที่มารับการรักษามีปัญหาจากการปวดหลัง โดยมีสาเหตุต่างๆ กัน เช่น การนั่งทำงานผิดท่าทาง อุบัติเหตุจากการเล่นกีฬาไม่ถูกท่าทาง
          นอกจากนี้ ชีวิตประจำวันของหนุ่มสาวออฟฟิศ ที่ต้องนั่งทำงานหน้าคอมพิวเตอร์เป็นเวลายาวนาน ซึ่งเป็นท่าทางของร่างกายที่ต้องใช้หลังมากขึ้นกว่าเดิมและการให้เวลากับการ ออกกำลังกายน้อยลง รวมถึงการดูแลสุขภาพน้อยเกินไป ล้วนเป็นสาเหตุทำให้เกิดการปวดหลังเรื้อรังได้ ดร.โอ๊คกล่าว
  วิธีการลดปัญหาเรื่องปวดหลังของคนทำงานออฟฟิศ ทำได้โดย
           1. ควรเลือกขนาดของโต๊ะเก้าอี้ให้เหมาะสม และพอดีกับสรีระ
           2.ไม่ ควรใช้เก้าอี้สปริงที่เอนได้ เก้าอี้แบบนี้ไม่ได้มีการรองรับหลังเท่าที่ควร ควรเลือกเก้าอี้ที่สามารถเอนได้ ความสูงของเก้าอี้และโต๊ะต้องได้ระดับกัน
           3. คอมพิวเตอร์ ที่ใช้ต้องมีการปรับจอให้อยู่ในระดับสายตา คือกึ่งกลางของจออยู่ที่ระดับสายตาของเรา การพิมพ์งาน แป้นคีย์บอร์ดควรอยู่ในระดับข้อศอก ข้อมือ จะได้ไม่ต้องยกแขนขึ้นมาพิมพ์
           4. การใช้เม้าท์ ถ้าต้องใช้งานมาก ควรจะเป็นเม้าท์แบบ "แทรกกิ้งบอล" หรือไร้สาย ที่สามารถนำมาใกล้ตัวได้และสามารถใช้ได้ถนัดโดยไม่ต้องยื่นแขนออกไป
           5.ไม่ควรนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์นานมากไป ควรจะเบรกทุก 1 ชั่วโมง หรือ 45 นาทีเพื่อพักผ่อนอิริยาบถ
           6. ควรนั่งเก้าอี้ให้เต็มก้น ซึ่งสาวออฟฟิศส่วนใหญ่ชอบนั่งแค่ครึ่งหรือปลายเก้าอี้
           7.ควร ออกกำลังกายหรือบริหารร่างกายอย่างสม่ำเสมอ วิธีง่ายๆ ก็คือการบีบนวดต้นคอ ยืดกล้ามเนื้อคอ หรือเอียงซ้าย-ขวา ก้มและเงยหน้า ฯลฯ แต่ละท่าควรทำค้างไว้สัก 10 วินาที เพื่อให้กล้ามเนื้อหรือเส้นเอ็นยืดตัวได้
           ลองเอาไปใช้ดูนะครับ แต่ถ้าปวดมากแนะนำให้ไปพบแพทย์นะครับ
บทความจาก http://www.nongmaiclub.com

ไข่ปลาคาเวียร์ โคตรแพง food for health

ไม่มี ปลาชื่อคาเวียร์หรอกครับ

แต่เจ้าของไข่ปลาคาเวียร์ ที่โคตรแพง คือ ปลาสเตอร์เจียน
ปลาสเตอร์เจียน (Sturgeon) ปลากระดูกแข็งขนาดใหญ่ชนิดหนึ่ง ในอันดับปลาฉลามปากเป็ด Acipenseriformes อาศัยได้อยู่ทั้งน้ำจืด น้ำกร่อย และทะเล เมื่อยังเล็กจะอาศัยอยู่ในแหล่งน้ำจืด ทะเลสาบหรือตามปากแม่น้ำ แต่เมื่อโตขึ้นจะว่ายอพยพสลงสู่ทะเลใหญ่ และเมื่อถึงฤดูวางไข่ก็จะว่ายกลับมาวางไข่ในแหล่งน้ำจืด
สเตอร์ เจียน เป็นปลาที่มนุษย์ใช้เป็นอาหารมานานแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งไข่ปลา ที่เรียกว่า ไข่ปลาคาเวียร์ (Caviar) ซึ่งนับเป็นอาหารราคาแพงที่สุดชนิดหนึ่งของโลก
สเตอร์ เจียน มีรูปร่างคล้ายปลาฉลาม มีหนามแหลมสั้น ๆ บริเวณหลังและเส้นข้างลำตัว (Llateral line) มีหนวดทั้งหมด 2 คู่อยู่บริเวณปลายจมูก ปลายหัวแหลม ปากอยู่ใต้ลำตัว หากินตามพื้นน้ำโดยอาหารได้แก่ สัตว์น้ำขนาดเล็กต่าง ๆ สเตอร์เจียนจะพบแต่เฉพาะซีกโลกทางเหนือซึ่งเป็นเขตหนาวเท่านั้น ได้แก่ ทวีปเอเชียตอนเหนือ ทวีปยุโรปตอนเหนือ ทวีปอเมริกาเหนือตอนเหนือ สถานะปัจจุบันของปลาชนิดนี้ในธรรมชาติใกล้สูญพันธุ์เต็มที แต่ปัจจุบันสามารถเพาะขยายพันธุ์ได้แล้วในบางชนิด
สเตอร์เจียน มีทั้งหมด 27 ชนิด (Species) ใน 3 สกุล (Genus) โดยชนิดที่ใหญ่ที่สุดคือ สเตอร์เจียนขาว (Huso huso) พบในรัสเซีย สามารถโตเต็มที่ได้ถึง 5 เมตร หนักกว่า 900 กิโลกรัม และมีอายุยืนยาวถึง 210 ปี นับเป็นปลาที่มีอายุยืนยาวที่สุดในโลก เท่าที่มีการบันทึกมา และเป็นชนิดที่ให้ไข่รสชาติดีที่สุดและแพงที่สุดด้วย ส่วนชนิดที่เล็กที่สุดคือ สเตอร์เจียนแคระ (Pseudoscaphirhynchus hermanni) ที่โตเต็มที่มีขนาดไม่ถึง 1 ฟุตเสียด้วยซ้ำ
นอกจากนี้แล้ว สเตอร์เจียนยังนิยมเลี้ยงเป็นปลาสวยงามอีกด้วย
คาเวียร์ หรือบางทีจะเรียก ไข่ปลาคาเวียร์ (caviar) เป็นไข่ปลาที่ผ่านการปรุงรสโดยไข่มาจากปลาหลากหลายประเภท โดยส่วนมากนิยมนำมาจากไข่ปลาสเตอร์เจียน คาเวียร์ได้มีการโฆษณาและได้ขึ้นชื่อว่าเป็นหนึ่งในอาหารที่อร่อยที่สุดใน โลก คำว่า คาเวียร์มาจากภาษาเปอร์เซีย ว่า ???‌??? (Khag-avar) ซึ่งมีความหมายว่า "ไข่ปลาที่ปรุงรส" โดยในแถบเปอร์เซียจะใช้หมายถึงปลาสเตอร์เจียน
ใน ปัจจุบัน คาเวียร์ที่มีชื่อเสียง จะมาจากฝั่งทะเลแคสเปียน ในแถบอาเซอร์ไบจัน อิหร่าน และ รัสเซีย คาเวียร์มีหลายประเภทและหลายสี โดยคาเวียร์สีทอง ที่มาจากปลาสเตอร์เลต (sterlet) เป็นคาเวียร์ที่หายาก นิยมรับประทานกันในหมู่กษัตริย์ โดยในปัจจุบันคาเวียร์ชนิดนี้แทบจะหาไม่ได้เนื่องจากมีการล่ามากจนเกินไป และทำให้เกิดการสูญพันธุ์

ไข่ปลาคาเวียร์แพงที่สุดในโลก ไม่ได้มีสีดำอย่างที่หลายท่านคุ้นเคย  แต่เป็นชนิดที่มีสีเทาอ่อนๆ ไล่ลงมาจนเกือบขาวตามอายุของปลา ยิ่งปลาอายุมากไข่ก็จะมีสีอ่อนลง และมีราคาสูงขึ้นเรื่อยๆ


ไข่ปลาคาเวียร์อัลมาส (ภาษาเปอร์เซี่ยนแปลว่า "เพชร")ที่ได้มาจากปลา"เบลูก้า สเตอเจียน" อายุหนึ่งร้อยปีขึ้นไป ถือเป็นไข่ปลาคาเวียร์ที่หายากที่สุด และมีราคาแพงที่สุด โดยมีราคาสูงถึงเกือบ 25,000 เหรียญสหรัฐต่อ 1 ก.ก. (ประมาณ 850,000บาท/ก.ก.)  ในขณะที่ราคาเฉลี่ยของเบลูก้า คาเวียร์ โดยทั่วไปในปัจจุบันจะอยู่ที่ 7,000 - 10,000เหรียญสหรัฐต่อ 1 ก.ก.(ราว 2.38 -3.4 แสนบาท/ก.ก.)
จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี  

Food for health ขอนำเสนอสูตรยาดี

Food for health ขอนำเสนอ
สรรพคุณของพืขผักแต่ละชนิดว่ามีคุณประโยชน์ต่อการรักษาได้อย่างไรไว้ในหนังสือชื่อยามหัศจรรย์สำหรับคุณเช่น
1. ปวดหัว กินปลามากๆ ทั้งปลาทะเล ปลาน้ำจืด
น้ำมันจากปลามีสรรพคุณป้องกันการปวดหัว กินพร้อม ๆ กับขิง จะช่วยบรรเทาอาการปวดหัวลง
2. แพ้ละออง เป็นแพ้ทั้งฝุ่นและเกสรดอกไม้ ให้กินโยเกิร์ต หรือนมเปรี้ยว
3.โรคหัวใจ ดื่มชาเขียว เป็นประจำ สารในชาเขียวช่วยป้องกันไม่ให้ไขมันไปจับตัวตามผนังหลอดเลือด
4. โรคนอนไม่หลับ ดื่มน้ำผึ้ง เป็น ประจำ สารในน้ำผึ้งมีฤทธิ์เป็นยากล่อมประสาททำให้นอนหลับฝันดี
5. โรคหืดหอบ กินหอม ต้นหอม หรือ หัวหอม ก็ได้มีตัวยาทำให้หลอดลมปลอดโปร่ง
6. โรคไขข้ออักเสบ กินปลาเท่านั้น แก้ไขเป็นปกติได้ ได้แก่ ปลาแซลมอน ปลาทูน่า(ปลาโอ) ปลาแมคเคอเรล ปลาซาดีนส์ ( ปลากระป๋อง )น้ำมันปลาทำให้โรคไขข้ออักเสบบรรเทาลง
7. ท้องผูก ท้องอืด ให้กินกล้วย หรือ ขิง กล้วยทำให้ไม่ท้องผูกและขิงทำให้อาการคลื่นไส้ในตอนเช้าหายไป
8. ติดเชื้อในถุงกระเพาะปัสสาวะ ให้ กินน้ำคั้นจากลูกแคนเบอรี ( ไม้เมืองหนาว)กรดเข้มข้นในลูกไม้ฆ่าแบคทีเรียได้
9. โรคหงุดหงิด ฟุ้งซ่านโดยเฉพาะเกิดในผู้หญิงสูงอายุด้วย ให้กินข้าวโพดช่วยบรรเทาอาการเครียด วิตกกังวล และความคิดสับสนได้
10. โรคกระดูกพรุน ทั้งกระดูกเปราะและแตกง่าย แก้ไขได้โดยให้กินสับปะรดซึ่งมีสารแมงกานีสอยู่มาก ช่วยให้กระดูกแข็งแรงได้
11. ความจำเสื่อม แก้ไขโดย กินหอยนางรม หอยแครงหรือหอยอื่น ๆซึ่งในเนื่อหอยมีสารสังกะสีช่วยบำรุงสมองได้ดี
12. เป็นหวัด กินกระเทียม ทำให้จมูกโปร่ง สมองโล่ง กระเทียมช่วยลดไขมันในเลือดได้อีกด้วย
13. ไอ จาม กินพริกแดง สารที่นำมาทำยาแก้ไอนั้นสกัดมาจากพริกแดง
14. มะเร็งเต้านม กินข้าวสาลี รำข้าว และกะหล่ำปลีจะช่วยป้องกันได้ดีโดยเฉพาะรำข้าว กะหล่ำปลีช่วยให้ร่างกายผลิตฮอร์โมนเพศหญิงเอสโตรเจนได้ในปริมาณที่เหมาะสม ข้อสำคัญอย่ากินไก่มาก เพราะใช้ฮอร์โมนเอสโตรเจนในการเร่งการเจริญเติบโต
15. มะเร็งปอด กิน ส้ม และ ผักใบเขียว มีวิตามินเออยู่มากจะช่วยป้องกันการก่อพิษของสารเบต้าแคโรทีน
16. แผลในกระเพาะอาหาร กินกะหล่ำปลีซึ่งมีสารเคมีช่วยทำให้แผลเรื้อรังในกระเพาะอาหาร และลำไส้เล็กหายขาดได้
17. โรคท้องร่วง กินแอปเปิ้ลสดทั้งเปลือก ช่วยให้อาการปั่นป่วน ในท้องเมื่อเชื้อโรคบิดเล่นงานทุเลาลง
18. เส้นเลือดตีบ กินผลอโวคาโด แก้ได้เพราะไขมันดี "โมโรอันแซตเทอเรต"ที่มีอยู่ในผลไม้ชนิดนี้ทำลายไขมันเลว ‘ คลอเลสเตอรอล ‘ ได้
19. ความดันโลหิตสูง กินผลโอลีฟ และผักขึ้นฉ่าย พืชทั้งสองชนิดนี้มีสารเคมีทำให้ระดับความดันเลือดลดลง
20. น้ำตาลในเลือดไม่สมดุล กินผักบร็อกโรลี่ และถั่วลิสง ซึ่งมีอินซูลินทำให้น้ำตาลในเลือดสมดุลได้
Food for health ขอนำเสนอ พืชผักที่กินเป็นอาหารประจำวันนั้นนอกจากจะอิ่มท้องแล้วยังมีสรรพคุณช่วย สร้างความสมดุลภายในร่างกายช่วยป้องกันและรักษาโรคภัยไข้เจ็บชนิดต่างๆได้ ถ้าได้เรียนรู้ที่จะรู้จักเลือกกินให้เหมาะกับตนเอง
Food for health ขอนำเสนอ คุณประโยชน์ของพืชสมุนไพร
       โดยเฉพาะพืชสมุนไพรไทยนั้นนับเป็นหนึ่งในความภาคภูมิใจของคนไทยเป็น ภูมิปัญญาชาวบ้านในท้องถิ่นอันควรปกป้องหวงแหนและอนุรักษ์ไว้ให้เป็นมรดกแก่ ลูกหลานไทยขอให้ช่วยกันป้องกันไม่ให้ตกไปอยู่ในมือของคนต่างชาติที่จ้องฉกฉวยผลประโยชน์จากทรัพยากรธรรมชาติของเราไปเป็นของตนทุกวิถีทาง ดังนั้นอนุชนรุ่นหลังจึงควรที่จะได้นำมาศึกษา ค้นคว้าและคิดค้นตามแนวทางที่บรรพบุรุษของเราท่านได้วางพื้นฐานไว้ให้เพื่อนำมาใช้ให้เป็นประโยชน์ในด้านโภชนาการของคนไทยต่อไป.
อาการของการเกิดมะเร็งในอวัยวะต่าง ๆ ของร่างกาย
1. มะเร็งปากมดลูก อาการ มีเลือดออกจากช่องคลอดทั้ง ๆที่ไม่ใช่เวลารอบเดือนปกติของคุณ อาการเจ็บปวดและมีเลือดออกหลังจากมีเพศสัมพันธ์ หากพบว่ามีสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้น การตรวจโดยขูดเนื้อเยื่อจากบริเวณดังกล่าวไปตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์จะรู้ได้
2. มะเร็งในมดลูก อาการ มีเลือดออกหลังการมีเพศสัมพันธ์หรือบางครั้งอาจมีความรู้สึกว่ามีก้อนเนื้อหรือมีอาการบวมในช่องท้อง
3. มะเร็งรังไข่ อาการประจำเดือนมาไม่สม่ำเสมอหรือการมีอาการเจ็บปวดหลังการมีเพศสัมพันธ์มีปัญหาเกี่ยวกับลำไส้อาการท้องอืดอาหารไม่ย่อย น้ำหนักลดและมีอาการ ปวดหลัง
4. มะเร็งในเม็ดเลือด (ลูคีเมีย)อาการเหนื่อยง่ายและมีอาการซีดเซียวกว่าปกติมักเกิดอาการฟกช้ำดำเขียว
หรือมีเลือดออกทางผิวหนังได้ง่ายโดยไม่ทราบสาเหตุและมักจะเกิดร่วมกับอาหารปวดตามข้อ ต่าง ๆ ทั่วร่างกายบางครั้งจะท้องอืดและเมื่อคลำดูจะพบว่ามีก้อนบวมที่ด้านซ้ายของช่องท้อง
5. มะเร็งปอด อาการ มักมีอาการไอบ่อย ๆมีเลือดออกและมีเสมหะปนมากับน้ำลายน้ำหนักลดอย่างฮวบฮาบ เจ็บหน้าอกและหายใจลำบากหรืออาจมีอาการหอบปนอยู่ด้วยทั้ง ๆที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
6. มะเร็งตับ อาการ ปวดในช่องท้อง เบื่ออาหาร น้ำหนักลด ตาและผิวเป็นสีออกเหลืองและเหลืองจัด จนเห็นได้ชัด
7. มะเร็งกระเพาะปัสสาวะ อาการ มีเลือดปนออกมากับปัสสาวะ
8. มะเร็งสมอง อาการ ปวดศีรษะนาน ๆและมักมีอาการอื่นร่วมด้วยเช่นอาเจียนหรือการผิดปกติของการมองเห็น ตาพร่าและเห็นแสงเขียว ๆ แดง ๆ ลอยไปมาเวลาปวดศีรษะ อ่อนเพลียไม่มีแรง หรือ
การเป็นลมโดยกะทันหันอวัยวะบางส่วนของร่างกายหยุดทำงานเช่นมีอาการชาและเป็นอัมพาตชั่วคราว
ควรให้ความระวังเป็นพิเศษหากคุณเคยมีประวัติการปวดหัวที่มีอาการเหล่านี้ประกอบอยู่ด้วย
9. มะเร็งในช่องปาก อาการ มีก้อนบวมอยู่ในปาก หรือทีลิ้นเป็นเวลานานมีแผลเปื่อยที่ปากที่ไม่ได้รับการรักษา หรือเป็นแผลเรื้อรังที่เหงือกเนื่องจากการกดทับของฟันปลอมที่ใส่ไว้ประจำ หรือเป็นเวลานาน
10. มะเร็งในลำคอ อาการ เสียงแหบพร่าไปทันทีมีก้อนบวมในทันทีทำให้รู้สึกว่ากลืนอาหารได้ลำบากหรือมีการขยายตัวของต่อมในลำคอที่โตขึ้นจนสามารถจับและรู้สึกได้
11. มะเร็งในกระเพาะอาหาร อาการน้ำหนักลดลงอย่างรวด เร็วอาเจียนออกมาเป็นเลือดท้องอืดหรืออาหารไม่ย่อย บ่อย รู้สึกเหมือนมีก้อนเนื้องอกในช่องท้องหรือรู้สึกตื้อ แม้เพิ่งจะรับประทานอาหารไปได้ไม่กี่คำ
12. มะเร็งทรวงอก อาการมีเลือดหรือของเหลวบางอย่างไหลออกมาจากหัวนมบวมหรือผิวเนื้อทรวงอกหนาขึ้นมีก้อนบวมจนจับได้เมื่อคลำบริเวณใต้รักแร้ บางครั้งอาจมีตุ่มหรือสิวเกิดขึ้นที่เต้านมเป็นเวลานานควรระวังเพราะผู้หญิง 9 ใน 10คน จะมีอาการบวมของก้อนเนื้อบริเวณทรวงอก โดยไม่ทราบสาเหตุเมื่อมีอายุมากขึ้น เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนทำให้เกิดเป็นถุงน้ำใต้ผิวหนังที่เรียกว่าซีสต์ ซึ่งควรต้องค้นหาสาเหตุของอาการบวมนั้นให้ชัดเจนเสียก่อนว่าคืออะไรกันแน่
13. มะเร็งลำไส้ อาการน้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วมีอาการปวดท้องอย่างมากและระบบการย่อยผิดปกติมีเลือดออกปนมากับอุจจาระ
**** ซึ่งมีวิธีสังเกตของผู้ที่มีอาการเกี่ยวกับริดสีดวงทวารอยู่แล้วคือถ้าใช้กระดาษทิชชูซับแล้วเลือดมีสีแดงสดนั่นคืออาการของริดสีดวงทวาร แต่ถ้าเลือดมีสีดำคล้ำนั่นคือ อาการของโรคมะเร็งในลำไส้
14. มะเร็งต่อมน้ำเหลือง อาการมีก้อนบวมเกิดขึ้นที่ใต้รักแร้หรือใต้ขาหนีบโดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าไม่ได้เกิดอาการติดเชื้อในบางส่วนของร่างกาย
15. มะเร็งผิวหนัง อาการมีแผลหรือแผลเปื่อยพุพองที่ไม่ได้รับการรักษาอยู่เป็นเวลานานตลอดจนไฝหรือหูดที่โตขึ้นและมีการเปลี่ยนสีหรือรูปร่าง ขนาด นอกจากนี้อาการอันตรายอีกอย่างหนึ่งที่ เรียกว่าเมลาโนมา(Melanoma) คือเนื้องอกที่ประกอบด้วยเซลล์ที่มีเมลานินสะสมอยู่ เช่นกระจุดด่างหรือไฝถ้าคุณมีไฝมากกว่า 50 เม็ดทั่วร่างกายหรือมีคนในครอบครัวที่มีประวัติว่าเคยเป็นโรคนี้มาก่อนคุณจะมีอัตราเสี่ยงสูงกว่าคนอื่นๆ
Food for health ขอนำเสนอสูตรยาดี ขอให้ท่านนำเรื่องนี้ไปบอกต่อเป็นวิทยาทาน ท่านจะโชคดีมีความสุขตลอดกาล
ตำรานี้ใช้แก้โรคมะเร็งผู้เป็นมะเร็งจะหายโดยไม่คาดคิด สำหรับมะเร็งจะหายภายใน 6 วัน
วิธีรักษาไปที่ร้านยาจีน ซื้อหัวเตย 1 ตำลึง หัวขิง 1 ตำลึง ก้อนเกลือ 3 ก้อน
นำมารวมกันแล้วแช่น้ำทิ้งไว้ 1 วัน ในน้ำ 1 ชาม จากนั้นให้ดื่มจนหมดชาม
สรรพคุณในการรักษา – หลังจากดื่มยานี้แล้วควรดื่มน้ำตามมาก ๆนำส่วนที่เหลือมารับประทาน ยานี้จะขับเอาของเสียออกทางอุจจาระหรือปัสสาวะไม่ต้องตกใจ เป็นการขับของเสียออกหมดแล้วจะปกติ
Food for health ขอนำเสนอสูตรยาดี*** ตำรานี้ห้ามซื้อขาย หรือคิดเป็น เงินค่ารักษาและขออย่าได้เก็บไว้เป็นส่วนตัวโดยเด็ดขาดหากท่านผู้อื่นรับทราบด้วยใจศรัทธาและกุศลจิตของท่าน
ท่านและครอบครัวจะประสบแต่ความสุข ความสมหวังทุกประการ

Food for health (power love อาหารเพื่อพลังรัก erotic หน่อยๆ)

อาหารเพื่อพลังรัก
คุณรู้ไหมว่ากิจกรรมอะไรที่มนุษย์ทำบ่อยครั้งสูสีกับการร่วมรัก? จากการสำรวจและวิจัยของมหาวิทยาลอสแองเจลิส (UCLA) ล่าสุดพบว่า คือการรับประทานอาหารของเรานี่แหละ มิหนำซ้ำ หนุ่ม-สาวหลายคู่ นิยมจะปากเปื้อนและอิ่มท้องก่อนร่วมรักจนชินเป็นนิสัย เพื่อจะได้เปิดฉากแนบชิดได้อย่างยาวเหยียดสะใจ แต่เคยมีใครคิดไตร่ตรอง เลือกรับประทานว่า สิ่งไหนจะเป็นประโยชน์หรือให้โทษในทางรักบ้าง? กระทั่งต่างฝ่ายต่างมีน้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอย่างน่าตกใจ ถึงจะหันกลับไปพิจารณาถึงสิ่งต่างๆ ที่เอาใส่ปาก ซ้ำร้าย และเมื่อพยายามจะขจัดส่วนเกินด้วยการทุ่มเทกับงานรักตรงหน้าให้มากขึ้นก็ กลายเป็นว่าสายเกินแก้ไปซะแล้ว 
- ผักขึ้นฉ่าย
ขึ้นฉ่าย ถือเป็นผักเสริมบารมีให้อาหารจานนั้นมีรสชาติรุ่มร้อนขึ้น มีกลิ่นฉุนขึ้นเพื่อดับความคาว และมีสีเขียวอ่อนนวลตาสร้างความน่ารับประทาน ยิ่งไปกว่านั้น ยังกระตุ้นแรงปรารถนาภายในให้ไต่ระดับสูง และพร้อมจะมีความสุขสมกับเพศตรงข้ามได้อย่างทันทีทันควัน ไม่ว่าจะประกอบอาหารด้วยการต้ม ผัด แกง หรือทอด ขึ้นฉ่ายก็สามารถสร้างแรงรักได้ทั้งสิ้น แต่ถ้าจะให้ผลลัพธ์ดีที่สุดควรทานดิบๆ เป็นเครื่องเคียงของอาหาร เพราะร่างกายจะได้สารกระตุ้นรัก (Androsterone) เข้าไปเต็มๆ ที่สำคัญสารชนิดนี้ยังรวมตัวผสมเหงื่อออกมาอีกในขณะร่วมรัก แม้คุณและฝ่ายตรงข้ามจะไม่ได้กลิ่น แต่นี่เหมือนเป็นหมัดเด็ดของ Androsterone ในการกระตุ้นความต้องการเป็นระลอกที่ 2
- หอยนางรมสด
นี่ คือเมนูกระตุ้นรักในตำนานตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ เหตุที่หอยนางรมสดเป็นกุญแจแนบชิดดอกสำคัญก็เพราะว่า สัตว์น้ำชนิดนี้มีธาตุสังกะสีซ่อนอยู่ในตัวค่อนข้างเยอะ สังกะสีนี่เอง เมื่อบริโภคเข้าไปแล้วจะช่วยให้สเปิร์มแข็งแรงและมีปริมาณมากขึ้น รวมทั้งกระตุ้นการผลิตฮอร์โมนโดปามีน (Dopamine) ซึ่งช่วยให้เกิดความอยาก ต้องแน่ใจว่า หอยนางรมสดนั้นทำความสะอาดแล้ว ไม่อย่างงั้นอาจถูกเชื้อโรคเล่นงานจนท้องเสียได้ ส่วนเครื่องเคียงอย่างพวก ยอดกระถิน หอมเจียว หรือน้ำพริกเผา งานนี้คงต้องโบกมือบ๊ายบายไปก่อน ใช้เพียงมะนาวบีบใส่แล้วกระดกใส่ปากเป็นพอ จะได้ไม่มีกลิ่นปากออกมาขัดขวางทางรัก ที่สำคัญ อย่าลืมป้อนหอยนางรมแบบปากต่อปากเป็นอันขาด เพราะเป็นเทคนิคกระตุ้นความอยาก ที่ใช้ได้ผลมานักต่อนัก
- กล้วยหอมจอมซน
นอกจากจะถูกใช้แทนสัญลักษณ์ของเพศชายจนรู้จักไปทั่วแล้ว กล้วยหอมคือขุมพลังรักที่หนุ่ม-สาวหลายคนมองข้าม เพราะผลไม้ปอกเปลือกง่ายและกินได้ไวชนิดนี้มีเอนไซม์โดปามีน ซึ่งเป็นตัวกระตุ้นความปรารถนาอย่างได้ผล รวมทั้งมีสารอาหารอย่างโปแตสเซียมและวิตามิน ที่ช่วยให้อึดและยืนหยัดบนสังเวียนรักได้นานๆ เพื่อพลังรัก เริ่มจากวิธีกินตามปกติโดยต่างคนต่างกิน แล้วค่อยสร้างสรรค์วิธีละเลียดแบบใหม่ๆ โดยฝ่ายหญิงสามารถวางกล้วยเคียงข้างน้องชาย ก่อนจะค่อยๆ สลับกันกลืนกินไปจนหมด สำหรับฝ่ายชายก็เช่นกัน ลองบรรจงวางกล้วยหอมไว้ใกล้ๆ กับน้องสาว แล้วบรรจงขบและแทะกลืนลงคอไปทีละน้อยจนกว่าจะหมดผล แรงสัมผัสที่เกิดขึ้นจะทำให้อารมณ์ภายในของต่างฝ่ายต่างพลุ่งพล่าน และต้องจับคู่เพื่อปลดปล่อยให้สำเร็จ
- อาโวกาโด
ผลไม้ดึกดำบรรพ์จากป่าทึบประเทศเม็กซิโก มีรูปร่างหน้าตาเหมือนลูกอัณฑะผู้ชายเปี๊ยบ จนชาวเผ่าแอซเท็คโบราณแห่งอเมริกาใต้ ขนานนามอาโวคาโดว่า “ผลอัณฑะ” (Testicle Tree) แต่เนื้อในกลับมีคุณค่าควรแก่การรับประทาน เพราะมีสารอาหารมีประโยชน์ทั้งกรดโฟลิกที่ช่วยในการย่อยสลายโปรตีน วิตามินบี 6 ช่วยกระตุ้นฮอร์โมนภายในร่างกาย และโปแตสเซียมซึ่งช่วยกระตุ้นปรารถนาในเพศหญิงได้เป็นอย่างดี เพื่อพลังรักด้วยวิธีเปิดอาโวคาโดเพื่อเปิดทางรักนั้นแสนง่าย นำผลอาโวคาโดที่แช่เย็นฉ่ำออกมาจากตู้เย็น ก่อนจะใช้มีดผ่าครึ่งออกมาเป็น 2 ซีก คุณและหล่อนจะเห็นเนื้อสีเขียวอ่อนของมันเผยออกมายั่วยวน จากนั้นค่อยๆ ใช้นิ้วชี้กดและควักเอาเนื้อออกมาทีละน้อย และบรรจงผลัดกันป้อนไปเรื่อยๆ ความเย็นและความลื่นของเนื้ออาโวคาโดจะค่อยๆ ไหลลงลำคอ สร้างความรู้สึกเสียวซ่านมากขึ้น...มากขึ้น กระทั่งคุณและคนข้างๆ ห้ามใจเอาไว้ไม่ไหว
- อัลมอนด์
ที่ ไม่เลือกถั่วลิสงมาบำรุงก่อนขึ้นสังเวียนรักเพราะมีคุณค่าเพียงให้พลังงาน เพิ่มขึ้น และตบท้ายด้วยกลิ่นอันไม่พึงปรารถนา ต่างจากเมล็ดอัลมอนด์ที่ผ่านการพิสูจน์แล้วว่า ให้ทั้งพลังงานแก่ร่างกาย กระตุ้นให้เกิดการสร้างฮอร์โมนความต้องการในเพศชายเพิ่มมากขึ้น ที่สำคัญกลิ่นของอัลมอนด์เมื่อบิออกมาแล้วถือเป็นกุญแจสร้างความอยากอย่างมี ประสิทธิภาพ ส่งผลให้ต้องแปรเปลี่ยนความในออกมาเป็นพฤติกรรมรัญจวนใจ
ไม่ต้องเอาไปคั่ว ไม่ต้องเอาไปบด และไม่ต้องจัดการปรุงรสโดยคลุกกับเกลือ เพียงเมล็ดอัลมอนด์จะทำงานอย่างเต็มประสิทธิภาพในแบบดั้งเดิมคือ ดิบๆ หรือถ้าคุณและหล่อนเบื่อที่จะกินเปล่าๆ ก็สามารถประยุกต์ใส่กับสลัดผักชนิดต่างๆ แล้วคลุกเคล้ากันให้ทั่ว ก่อนจะผลัดกันเสิร์ฟคนละคำก็น่ารักไม่เบาเหมือนกัน
- มะม่วง, พีช และสตรอเบอร์รี่
อากาศ ร้อนๆ อย่างนี้จะทำอะไรมีความสุขไปกว่าการได้กินผลไม้เนื้อแน่นและฉ่ำด้วยน้ำหวานๆ อย่างมะม่วง พีช และสตรอเบอร์รี่อีกล่ะ ยิ่งไปกว่านั้นการกลืนกินผลไม้ทั้ง 3 ชนิดข้างต้นยังช่วยกระตุ้นอารมณ์ต้องการได้เป็นอย่างดี เนื่องจากลักษณะรูปทรงของผลไม้เหล่านี้ไม่ต่างจากส่วนสัดบนเรือนร่างมนุษย์ ส่วนเนื้อด้านในที่แน่นและมีเส้นใยอาหารแตกต่างกัน ยังกระตุ้นการรับรสของลิ้นได้เป็นอย่างดีอีกต่างหาก ห้ามเฉาะออกมาเป็นชิ้นเหลี่ยม แต่ให้บรรจงฝานออกมาเป็นแผ่นบางๆ ทั้งมะม่วง ผลพีช หรือสตรอเบอร์รี่ก็ตาม ก่อนจะฝ่ายหนึ่งจะใช้ริมฝีปากคาบเอาไปป้อนถึงลิ้นของอีกฝ่ายหนึ่ง รสหวานและความฉ่ำในตัวของผลไม้จะกระตุ้นต่อมรับรสบนลิ้นอย่างฉับพลัน และส่งผลตรงไปถึงสมองให้แสดงความรู้สึกซาบซ่านออกมา ซึ่งไม่ต่างจากเวลาที่หนุ่ม-สาวร่วมรักแล้วจูงมือกันไปถึงจุดสุดยอด ไม่เชื่อก็ลองซะด้วยตัวเองและคู่ควงเดี๋ยวนี้!
- ไข่ไก่
ถึง จะดูแล้วเป็นอาหารแบบพื้นๆ แต่ไข่ที่ดูธรรมดาๆ นี่ล่ะ กลับให้วิตามินบี 6 และบี 5 ในปริมาณค่อนข้างสูงสูสีกับอาหารกระตุ้นรักประเภทอื่น ที่สำคัญการได้รับวิตามินทั้ง 2 อย่างพร้อมๆ กัน นอกจากจะกระตุ้นให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนสร้างความต้องการทางเพศมากขึ้นแล้ว ยังช่วงความความเครียดหรือความตื่นตระหนักในขณะร่วมแนบชิด ส่งผลให้คุณและหล่อนเดินเครื่องรักเข้าหากันได้อย่างสนุก โดยไม่มีฝ่ายใดอ่อนเปลี้ยไปเสียก่อน ช่วงนี้ไข้หวัดนกกำลังระบาด เชื้อ H5N1 ออกอาละวาดไปทั่ว ดังนั้น อย่าได้คิดเพิ่มความฟิตด้วยไข่ดิบหรือไข่ลวกเป็นอันขาด ทางที่ดีควรทำให้สุกเสียก่อน ถึงจะสูญเสียวิตามินตัวสำคัญๆ ไปบ้าง แต่ก็ยังดีกว่าเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยง ยิ่งไปกว่านั้น ในไข่นกและไข่ปลาก็มีคุณสมบัติไม่แพ้ไข่ไก่เช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นไข่นกกระทาหรือไข่ปลาคาเวียร์ ล้วนมีคุณค่าด้วยกันทั้งสิ้น เพียงแต่ต้องระวังเรื่องคอเลสเตอรอลควบคู่กันไปด้วย
- ตับ
เวลา ยังไม่ผ่านกระบวนการประกอบอาหาร หน้าตาดูน่าขยะแขยงยังไงก็ไม่รู้ แต่พอเอาไปต้มเป็นแกง ลวกกินแบบสุกี้ หรือผัดกับผักชนิดต่างๆ แล้วอร่อยเด็ดเหลือเกิน ความพิเศษของตับอาจต่างจากอาหารเพิ่มพลังรักประเภทอื่นๆ เพราะมีส่วนประกอบของกลูตามีนมากเป็นพิเศษ เจ้าสารชนิดนี้ไม่ได้ช่วยเพิ่มระดับความปรารถนาใดๆ แต่มันกลับช่วยให้ยันให้ความต้องการไต่ค้างอยู่ในระดับสูง โดยไม่ตกลงมาอย่างฮวบฮาบกลางคัน เพราะมีกลิ่นคาวมากกว่าอวัยวะส่วนอื่นๆ แถมวิธีปรุงต้องใส่เครื่องเทศรสร้อนแรง อาหารที่มีตับเป็นส่วนประกอบจึงไม่เหมาะจะนำมารับประทานในห้องนอนเป็นอันขาด นอกจากจะตั้งบนโต๊ะเป็นกับรับประทานกับข้าวร้อนๆ ตอนเย็น ก่อนจะเว้นช่วงพักให้ตับถูกย่อย พร้อมๆ กับกลิ่นเครื่องเทศที่เจือจากไปจากปาก แล้วคุณทั้งสองถึงค่อยหันหน้าเข้ามาจ้ำจี้มะเขือเปาะกันให้สะใจ
- กระเทียม
ใช่...นี่ คือสิ่งที่ผีดูดเลือดอย่างแดร็กคูล่ากลัวนักกลัวหนา และใช่อีกล่ะว่านี่คือสิ่งสร้างกลิ่นปากและลมหายใจอันไม่พึงปรารถนา แต่กระเทียมถูกค้นพบและพิสูจน์วิจัยในวงการแพทย์แล้วว่า สามารถเพิ่มระดับความต้องการของหญิงและชายได้แน่ๆ เพราะส่วนประกอบที่ชื่อว่าอัลลิซิน (Allicin) จะช่วยให้การไหลเวียนของกระแสโลหิตในหลอดเลือดคล่องตัวยิ่งขึ้น คุณและหวานใจจึงเกิดความตื่นตัวและพร้อมจะตอบสนองกับเรื่องอย่างว่าอยู่เสมอ เตรียมตัวเตรียมเงินซื้อเม็ดอมดับกลิ่นปากรสมิ้นท์มาตุนเอาไว้เลย ถึงจะหยุดกลิ่นกระเทียมไม่ได้ทั้งหมด แต่ก็ยังช่วยให้คุณพาเรือรักล่องลำนาวาไปได้ตลอดรอดฝั่ง
- ช็อคโกแลต
ของหวานจากฟากฝั่งยุโรปที่มีอิทธิพลถึงเมืองไทย นอกจากความหวานลิ้นที่ขึ้นชื่อลือชาแล้ว เคยสงสัยบ้างมั้ยว่า ทำไมคนนิยมมอบช็อคโกแลตให้กับคนรัก นอกเหนือจากดอกกุหลาบอันเป็นที่นิยมแล้ว คำตอบก็คือช็อคโกแลตมีส่วนผสมของทีโอโบรไมน์ (Theobromine) และอัลคาลอยด์ (Alkaloid) ซึ่งมีคุณสมบัติเหมือนคาเฟอีนยังไงยังงั้น เมื่อรับประทานเข้าไปแล้วจึงเกิดความตื่นตัว ไวต่อความรู้สึก และกระตือรือร้นในเรื่องรักมากเป็นพิเศษ ของมันหวานอยู่แล้ว แค่ผลัดกันป้อนก็เพิ่มคุณค่าทางความรู้สึกแล้วล่ะ หรือถ้าจะละเลงตามตัวแล้วให้ฝ่ายตรงข้ามเข้ามากลืนกินก็ได้ ไม่ถือว่าผิดกติการักแต่อย่างใด ที่สำคัญ ในช็อคโกแลตยังมีสารเคมีชนิดหนึ่งชื่อเพนีลีทีลามีน (Phenylethylamine) ซึ่งทำให้ผู้บริโภคช็อคโกแลตเกิดอาการตกอยู่ในภวังค์แห่งความรัก